10 เทรนด์ดีไซน์ Packaging ปี 2024

บรรจุภัณฑ์ หรือแพคเกจจิ้ง (Packaging) เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต่างให้ความสำคัญ โดยวัตถุประสงค์หลักของบรรจุภัณฑ์นั้นมีมาเพื่อปกป้องและขนส่งสินค้าให้คงอยู่ในสภาพดี นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้วยังมีเทรนด์บรรจุภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ผู้ประกอบการยังต้องใส่ใจเพื่อให้สินค้ามีความแตกต่างและโดดเด่นไปจากคู่แข่ง

ในปี 2024 ที่จะถึงนี้ บรรจุภัณฑ์ยังคงต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับอิทธิพลจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความต้องการของผู้บริโภค และความยั่งยืน เห็นได้ชัดว่าเมื่อก้าวเข้าสู่ปีใหม่ จำเป็นอย่างยิ่งที่ธุรกิจต่างๆ จะต้องก้าวนำหน้าและปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์บรรจุภัณฑ์ล่าสุด เราจึงได้รวบรวมเทรนด์บรรจุภัณฑ์ที่น่าสนใจในปี 2024 มาให้ดังนี้

1. Sustainable Packaging

 

กล่าวได้ว่า “เทรนด์ด้านความยั่งยืน” เป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคหลายคนให้ความสำคัญ โดยเรียกได้ว่าเทรนด์นี้เป็น Global Trend ของคนทั่วโลก คาดการณ์ว่าในปี 2024 ผู้บริโภคและแบรนด์ต่างหันมาใช้วัสดุที่ยั่งยืน พยายามออกแบบบรรจุภัณฑ์มาเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ใช้พลาสติกแบบ closed-loop เป็นการดึงเอาพลาสติกที่ใช้แล้ว กลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ทำให้พลาสติกที่กลับเข้าสู่ระบบมีคุณภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น, บรรจุภัณฑ์จากพืช วัสดุทางเลือกที่สามารถย่อยสลายหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้  และบางแบรนด์ยังพยายามมองหาบรรจุภัณฑ์ยั่งยืนเพื่อที่จะลดปริมาณ “Carbon footprint” คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาจากกิจกรรมของมนุษย์ ทั้งจากการใช้ชีวิตประจำวัน การผลิต การเกษตร การขนส่ง ฯลฯ

• McDonald's ได้ประกาศว่าจะใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถ renewable, recycled, หรือ certified sources ภายในปี 2025 
• ในประเทศอังกฤษได้ริเริ่มการ จำหน่ายสินค้าแบบ Zero-Waste ในช่องทางออนไลน์ที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ (Unilever, PepsiCo) เพื่อที่จะนำสินค้าที่บริโภคหมดแล้วกลับมารีไซเคิล และใช้ซ้ำโดยผ่านกระบวนการทำความสะอาดตามมาตราฐาน
  และจากการศึกษาและการวิเคราะห์ในต่างประเทศพบว่า
• 37% ของผู้บริโภคชาวอเมริกันให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่ให้ความยั่งยืน ในการตัดสิ้นใจซื้อสินค้า
• 30% ของผู้บริโภคยอมซื้อสินค้าที่ที่มีราคาสูงขึ้น สำหรับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

2. Minimalist and Eco-Friendly Design

 

ความมินิมอล (Minimal) หรือ มินิมอลลิสม์ (Minimalism) โดยบรรจุภัณฑ์มินิมอล มาจากแนวคิด “Less is more”หรือ “น้อยแต่มาก” คือการเน้นเรื่องความเรียบง่ายบนพื้นฐานของความจำเป็นและตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป ซึ่งเป็นเทรนด์การออกแบบที่คาดการณ์ว่ายังคงครองตลาดบรรจุภัณฑ์ในปี 2024 การออกแบบที่เรียบง่าย สะอาดตา ด้วยสีเอิร์ธโทนและโลโก้ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกำลังกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น การออกแบบนี้ไม่เพียงแต่ดึงดูดผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังเน้นถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ที่มีต่อความยั่งยืนอีกด้วย

• Apple เป็นผู้นำด้านการออกแบบบรรจุภัณฑ์สไตล์มินิมอล เห็นได้จากการใช้สีและเส้นที่เรียบง่าย และยังมุ่งมั่นในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและใช้งานง่าย นอกจากนี้ยังได้สร้างโซลูชั่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งช่วยลดของเสียและค่าใช้จ่ายในการขนส่ง
• Muji เป็นบริษัทค้าปลีกของญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมในระดับสากล จากดีไซน์การออกแบบที่เรียบง่ายทั้งผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ และฟังก์ชันการใช้งาน การออกแบบสไตล์มินิมอลไม่เพียงแต่จะสร้างความจดจำให้กับแบรนด์ แต่ยังช่วยลดต้นทุนในการผลิต เนื่องจากใช้ทรัพยากรน้อยลงอีกด้วย

3. Smart Packaging

 

Smart Packaging หรือบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ เป็นการพัฒนาบรรจุภัณฑ์โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น การใช้ QR code, augmented reality (AR) และ ป้ายอิเล็กทรอนิกส์ (RFID Tag) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถูกนำมาใช้เพื่อให้ผู้บริโภคสัมผัสถึงประสบการณ์แบบปฏิสัมพันธ์ (Interactive experiences) เช่น QR code ข้อมูลต่างๆ  ข้อมูลและคุณภาพของอาหาร ความปลอดภัยทางอาหารหรือแม้แต่สถิติด้านความยั่งยืน นอกจากบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะจะให้ประโยชน์แก่ผู้บริโภคแล้ว ยังให้ประโยชน์แก่ผู้ผลิตในด้านการดำเนินงานอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น การบันทึกข้อมูลระหว่างการขนส่ง การตรวจสอบ การเก็บรักษา เป็นต้น

• Johnnie Walker วิสกี้ที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดในโลก ได้เปิดตัววิสกี้ที่เชื่อมต่อระบบ cloud เพื่อป้องกันการปลอมแปลงวิสกี้ โดยการทำ NFC Tag ที่ลูกค้าสามารถทราบอายุและตรวจสอบว่าวิสกี้ที่ซื้อมาเป็นของแท้
  และมีการคาดการณ์มูลค่าตลาดของบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ พบว่า
• ปี 2024 บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะจะมีมูลค่าตลาด 39.56 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
• ปี 2032 บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะจะมีมูลค่าตลาดสูงถึง 60.49 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

4. Eco-Friendly Ink and Printing

 

อุตสาหกรรมหมึกและการพิมพ์ก็กำลังพัฒนาไปสู่ความยั่งยืนเช่นกัน หมึกพิมพ์จากถั่วเหลือง หรือ หมึกพิมพ์รักษ์โลก (Soy Ink) เป็นการใช้น้ำมันถั่วเหลืองเป็นส่วนประกอบแทนการใช้น้ำมันปิโตเลียม โดยน้ำมันถั่วเหลืองนี้จะไม่มีสารพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็งและยังเป็นน้ำมันถั่วเหลืองชนิดเดียวกับที่ใช้ในการทำอาหาร นอกจากในเรื่องของการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้วหมึกพิมพ์จากถั่วเหลืองยังมีข้อดีอีกหลายข้อ เช่น มีสีสันสดใส ความเข้มข้นสูง ช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องพิมพ์ ให้ความคมชัด มีพื้นผิวที่มีความวาวมันเงากว่าหมึกทั่วๆไป และช่วยประหยัดน้ำหมึกในการพิมพ์ระยะยาว

• จากข้อมูลของสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (EPA) กระบวนการผลิตหมึกพิมพ์จากถั่วเหลือง ผลิตสารอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile organic compounds หรือ VOCs) ในเปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับหมึกพิมพ์จากน้ำมันปิโตรเลียม
• จากผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Journal of Applied Biomaterials & Functional Materials ได้เปรียบเทียบคุณภาพของหมึกพิมพ์จากถั่วเหลืองและหมึกพิมพ์จากน้ำมันปิโตรเลียม พบว่าหมึกทั้งสองประเภทมีประสิทธิภาพการพิมพ์ที่คล้ายคลึงกันในแง่ของคุณภาพการพิมพ์ ดังนั้นการเลือกหมึกจึงควรพิจารณาจากผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อม รวมถึงความง่ายในการรีไซเคิล

5. Typography- Bold and Readable

 

ตัวอักษรที่เป็นตัวหนาและอ่านง่าย เป็นสไตล์การออกแบบที่แบรนด์ดังๆ มักจะใช้ ยกตัวอย่างเช่น Vogue และ Zara ซึ่งมักเลือกแบบอักษรที่เรียบง่ายและสะอาดตา ทำให้ผู้บริโภคไม่สับสนในข้อมูลที่แบรนด์ต้องการนำเสนอและยังดึงดูดความสนใจและการมีส่วนร่วมต่อแบรนด์ (Attention and Engagement) และสร้างความน่าจดจำให้กับแบรนด์ได้อีกด้วย

6. Personalized Packaging

 

ผู้บริโภคมักชื่นชอบประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว รวมไปถึงบรรจุภัณฑ์ที่ตอบสนองความรู้สึกเฉพาะบุคคล (Personalized Packaging) ซึ่งเป็นการสื่อสารไปถึงลูกค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกมีคุณค่าและรู้สึกพิเศษ ยกตัวอย่างเช่น โคคา-โคล่า หรือโค้ก ได้จัดแคมเปญ Share a coke โดยนำชื่อเล่นที่เป็นที่นิยมของคนในแต่ละประเทศรวมทั้งในประเทศไทย มาพิมพ์ลงฉลากบนขวดและกระป๋อง ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงและยังช่วยในการกระตุ้นยอดขายของโค้กอีกด้วย นอกจากนี้บางแบรนด์ยังมีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อออกแบบและปรับบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะกับลูกค้า เช่นการใช้ Interactive technologies อย่าง AR เข้ามา โดยการให้ลูกค้าเลือกสี ฟอนต์ การเพิ่มข้อความลงบนผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น

• แบรนด์ที่ออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ตอบสนองความรู้สึกเฉพาะบุคคล (Personalized Packaging) เพิ่มขึ้นในทุก ๆ วัน และยังช่วยเพิ่มยอดขาย พบว่า 60% ของลูกค้าที่เดินเข้าไปในร้านมีแนวโน้มที่จะเลือกบรรจุภัณฑ์เฉพาะบุคคล
• แคมเปญ Share a coke เปิดตัวครั้งแรกในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยมียอดขายรวมเพิ่มขึ้นถึง 7% และยอดขายขวดโค้กที่มีชื่อลูกค้ามากกว่า 250,000 ขวดในช่วง 3 เดือนแรก

7. Transparent and Informative Labels

 

ฉลากบรรจุภัณฑ์ที่ชัดเจนและให้ข้อมูลเป็นที่ต้องการนั้นมีความสำคัญเพราะผู้บริโภคต้องการทราบว่าพวกเขากำลังซื้ออะไร มาจากไหน และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร ดังนั้นแบรนด์ที่ให้ข้อมูลรายละเอียดลงบนฉลากถือว่าเป็นการสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าของตน แบรนด์ในปัจจุบันจึงพยายามลดความซับซ้อน เน้นอธิบายข้อมูลที่มีความสำคัญ เพื่อลดความสับสนของลูกค้า นอกจากในด้านข้อมูลแล้วฉลากเหล่านี้ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เรียบง่ายไม่เหมือนใคร ช่วยเพิ่มความโดดเด่นของสินค้าของคุณท่ามกลางสินค้าคู่แข่งบนชั้นวางได้อีกด้วย

8. Brand Storytelling

 

ในปี 2024 แบรนด์ที่ออกแบบบรรจุภัณฑ์โดยเน้นการสื่อสารไปที่การเล่าเรื่องราว จะช่วยกระตุ้นอารมณ์ของผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภครู้สึกมีส่วนร่วมและยังช่วยให้จดจำแบรนด์ได้มากขึ้นจากเรื่องราวที่น่าติดตามของแบรนด์ เห็นได้จากหลาย ๆ แบรนด์ที่มีชื่อเสียง มักประสบความสำเร็จจากการบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ หรือเรื่องราวต่าง ๆ ลงในผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ยกตัวอย่างในด้านของบรรจุภัณฑ์ เช่น น้ำดื่มสปริงเคิล ที่ใช้การเล่าเรื่องราวผ่านการใช้ตัวการ์ตูน โดยนอกจากจะใช้ Storytelling แล้ว แบรนด์ยังใช้รูปแบบการทำการตลาดแบบ limited edition หรือการออกสินค้า collection พิเศษอีกด้วย และยังเป็นการช่วยลดปริมาณขยะ เพราะแทนที่ลูกค้าจะทิ้งขวดตามปกติ ก็อาจจะนำขวดเหล่านี้มาเก็บสะสม
และจากการศึกษาและการวิเคราะห์ในต่างประเทศพบว่า

• 92% ของผู้บริโภคต้องการให้แบรนด์สร้างโฆษณาผ่านการเล่าเรื่องราว
• 68% ของผู้บริโภคมองว่า brand stories มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของพวกเขา
• 55% ของผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะจดจำเรื่องราวมากกว่าการที่แบรนด์เสนอรายละเอียดข้อเท็จจริง

9. Innovative Shapes and Structures

 

รูปร่างและโครงสร้างของบรรจุภัณฑ์ที่มีความสร้างสรรค์และแหวกแนวจะช่วยดึงดูดสายตาของผู้บริโภค บรรจุภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวนอกจากจะโดดเด่นบนชั้นวางสินค้าแล้วยังเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์ (Brand Experience) และสร้างความประทับใจที่ไม่รู้ลืมแก่ผู้บริโภคอีกด้วย เพราะบางคนไม่ได้มองว่าบรรจุภัณฑ์เป็นแค่สิ่งที่ปกป้องสินค้าที่อยู่ด้านใน แต่ยังมองว่าเป็นงานศิลปะที่ช่วยส่งเสริมการขายให้กับแบรนด์ ดังคำพูดที่กล่าวว่า  “packaging is a silent salesman” บรรจุภัณฑ์เป็นพนักงานขายไร้เสียง ที่นอกจากจะทำหน้าที่เก็บรักษาและบรรจุสินค้าแล้วยังเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ช่วยในการส่งเสริมด้านการขายที่ดีได้อีกด้วย

• แบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังอย่าง Patagonia ได้ออกแบบแคปซูลสำหรับใส่เสื้อผ้า  Base Layer หรือ ลองจอน โดยตัวกล่องมีรูปร่างคล้ายกับ “ซูชิโรล” 

10. Eco-Friendly Shipping Packaging

 

หลายแบรนด์ได้นำ “เทรนด์ด้านความยั่งยืน” มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ต้องคำนึงถึงการขนส่งด้วย โดยใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้วัสดุในการขนส่งแบบวงปิดหรือสามารถรีไซเคิลได้ เพิ่มประสิทธิภาพบรรจุภัณฑ์เพื่อลดของเสียและลดต้นทุนการขนส่งโดยการออกแบบให้บรรจุภัณฑ์มีน้ำหนักเบา ช่วยลดปริมาณวัสดุที่ใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์แต่ไม่ลดประสิทธิภาพในการปกป้องสินค้า

• Nut Creative แบรนด์ไวน์ชื่อดังจากสเปน ได้ผลิตกล่องใสไวน์แบบเคลื่อนย้ายได้โดยปราศจากพลาสติก กล่องนี้ได้รับการออกแบบให้มีที่จับซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคสะดวกต่อการพกพาไวน์ไปร่วมงานเลี้ยงต่างๆ และกล่องนี้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่เพื่อเป็นของเล่นสำหรับเด็กได้อีกด้วย

และนี่ก็คือ 10 เทรนด์ดีไซน์ Packaging ปี 2024 ที่เราได้รวบรวมมาให้คุณ หากคุณคือโรงพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์และสนใจเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ไม่ว่าจะเป็น เครื่องตัดกระดาษ (Itotec), เครื่องปั๊มกล่อง (Yawa), เครื่องกระทุ้งกล่องและเครื่องปะกล่อง (Sinhosun) หรือแม้กระทั่งเครื่องพับกระดาษ (Shoei) รวมทั้งเครื่องพิมพ์สติกเกอร์ม้วน (Iwasaki) คุณสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน Website ของเราหรือโทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 02-291-3614 ถึง 7

แหล่งที่มา

THE TOP 10 PACKAGING TRENDS FOR 2024

Top 10 Packaging Design Trends You Can’t Ignore in 2024